ลาว - สถานการณ์กลุ่มชาติพันธุ์ในลาว



          จากการทำสำมะโนประชากรครั้งล่าสุดในปี ค.ศ. 2005  ลาวมีจำนวนประชากรลาวประมาณ 5.6 ล้านคน และสถิติล่าสุดในปี ค.ศ. 2009  ประชากรลาวมีประมาณ 6.1 ล้านคน (Population Census 2005, 2011)    การจำแนกประชากรชนเผ่าครั้งล่าสุดในปี ค.ศ. 2005 ใช้ระบบการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามตระกูลภาษา  4 ตระกูลภาษา  คือ ตระกูลภาษาไท - ลาว (Tai - Lao)  ตระกูลภาษามอญ - เขมร(Mon - Khmer)  ตระกูลภาษาจีน - ทิเบต และตระกูลภาษาม้ง - อิวเมี่ยน    จากการจำแนกในระบบนี้ ลาวประกอบด้วยชนเผ่าทั้งสิ้น 49 กลุ่ม และแตกเป็นกลุ่มย่อยได้ 160 กลุ่ม  อย่างไรก็ตาม  ประวัติศาสตร์ของการจำแนกชนเผ่าในลาว เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน และยังเป็นข้อถกเถียงกันจนถึงปัจจุบัน

          หลังจากลาวเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ค.ศ. 1975 จนถึงปัจจุบัน  มีการสำรวจสำมะโนประชากรมาแล้วทั้งสิ้น 3 ครั้ง คือในปี ค.ศ. 1985  ปี ค.ศ. 1995 และปี ค.ศ. 2005   ในการสำรวจแต่ละครั้ง จะมีการประกาศการจำแนกประชากรตามชนเผ่า  ที่จำแนกโดยองค์กรแนวลาวสร้างชาติ   ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.  1976  ในชื่อ คณะกรรมาธิการชนชาติ   อยู่ในองค์กรแนวลาวฮักชาติ (NLHS) ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1979  เปลี่ยนชื่อเป็นแนวลาวสร้างชาติ (NLSS) องค์กรนี้มีหน้าที่โดยตรงในการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ในลาว   กล่าวได้ว่า ทันทีที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลลาวได้แสดงความสนใจเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์อย่างชัดเจนในกองประชุมใหญ่ผู้แทนทั่วประเทศ

          ตามสถิติของปี ค.ศ. 2005  เมื่อพิจารณาสัดส่วนประชากรลาว  พบว่าจำนวน 2 ใน 3 หรือประมาณร้อยละ 65  เป็น กลุ่มที่พูดภาษาลาว - ไท ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์  8 ชนเผ่า  อีกร้อยละ 11 เป็นกลุ่มที่พูดภาษาม้ง – อิวเมี่ยนและจีน - ทิเบต  ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนภูเขาหรือพื้นที่สูง  ประกอบด้วย 7 กลุ่ม ในตระกูลภาษาจีน - ทิเบต และ 2 กลุ่มในตระกูลภาษาม้ง - อิวเมี่ยน  ส่วนตระกูลภาษามอญ - เขมร มีสัดส่วนประชากรร้อยละ  24  และมีจำนวนชนเผ่ามากที่สุดคือ 32 กลุ่ม

 

          ตาราง 1 การจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์แยกตามตระกูลภาษา โดยแนวลาวสร้างชาติ  ปี ค.ศ. 2005

* ชนเผ่าลาวมีจำนวนร้อยละ 55 

 

          กลุ่มที่มีความแตกต่างด้านวัฒนธรรมและภาษาหลากหลายที่สุดคือ  กลุ่มที่อยู่ในตระกูลภาษามอญ – เขมร   ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากที่สุด (32 กลุ่ม) เมื่อเทียบกับกลุ่มตระกูลภาษาอื่น แต่ขณะเดียวกันก็มีสัดส่วนประชากรเพียง 1 ใน 4 ของจำนวนประชากรทั้งหมด (ร้อยละ 24 ของจำนวนประชากร)

          เป็นที่ทราบกันว่า การจำแนกคนหรือกลุ่มชาติพันธุ์ในลาวนั้น ไม่ว่าจะอยู่ยุคสมัยใดก็ไม่ใช่เป็นเรื่องตรงไปตรงมา   แต่มีนัยยะทางการเมืองและเป็นเรื่องความสัมพันธ์เชิงอำนาจ  ดังเช่น สำมะโนประชากรในปี ค.ศ.1955  รัฐบาลลาวราชอาณาจักร ได้รวมเอากลุ่มคนลาวและไทมาไว้กลุ่มเดียวกัน โดยจัดอยู่ในกลุ่มคนลาว ทำให้สัดส่วนประชากรคนลาวเพิ่มสูงขึ้นเป็นกว่าร้อยละ 70   สะท้อนว่าการสำมะโนประชากรเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเป็นชาติลาว ในขณะที่ประชากรกลุ่มข่ากลับน้อยลงกว่าเดิม  ซึ่งไม่แน่ใจว่าเกิดจากสาเหตุการเมือง หรือการสำรวจสำมะโนประชากรไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ห่างไกล (Pholsena, 2006)

           Joachim  Schliesinger   นักวิชาการด้านชาติพันธุ์  ให้ทัศนะเพิ่มเติมว่าการทำสำมะโนประชากรในปี ค.ศ. 1995 และการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ ยังเป็นเพียงการจำแนกคร่าวๆ ที่ไม่ได้อยู่บนฐานข้อมูลประชากรที่ถูกต้อง และไม่ได้ให้ภาพรวมเกี่ยวกับสถานการณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ตามความเป็นจริง แต่เป็นเพียงการคาดการณ์และการใช้อำนาจทางการเมืองในการตัดสินว่า ชนเผ่าไหนจะถูกยุบรวม เผ่าไหนไม่มีชื่อ หรือเผ่าไหนอยู่ในจำนวนที่ถูกระบุว่า “อื่นๆ” (Schliesinger, 2003) 

          ในอีกด้านหนึ่ง Grant Evans นักวิชาการลาวศึกษา ชี้ให้เห็นว่า การทำสำมะโนประชากรของลาวดังกล่าว มิได้ให้ความสำคัญกับกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในเมือง เช่น จีน  เวียดนาม  ไทย ทั้งที่คนเหล่านี้มีจำนวนไม่น้อย  แต่ใช้คำรวมๆ แทนกลุ่มชนนี้ว่า  “อื่นๆ”   ซึ่งเป็นไปได้ว่ากลุ่มคนดังกล่าวจำนวนหนึ่ง อาจถูกเหมารวมว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ “ลาว” (Evans, 2003)

          แม้ว่าในวงวิชาการและทางการเมือง จะมีการจำแนกชนเผ่าตามตระกูลภาษาอย่างเป็นทางการหลายครั้ง  แต่การจำแนกที่นับได้ว่า “ติดตลาด” และได้รับความนิยมทั้งในแง่การใช้งานและการรับรู้ของคนทั่วไปจนถึงปัจจุบัน  คือ การจำแนกเป็นกลุ่มลาวลุ่ม  ลาวเทิง และลาวสูง โดยรัฐบาลลาวคอมมิวนิสต์  ซึ่งคิดขึ้นโดย P.S. Nginn ในต้นทศวรรษ 1960   เป็นการจำแนกโดยมีพื้นฐานอยู่บนการตั้งถิ่นฐานเชิงภูมิศาสตร์ของกลุ่มคน   

ลาวลุ่ม คือ คนลาวที่อาศัยอยู่บนพื้นราบ

ลาวเทิง คือ คนลาวที่อาศัยอยู่บริเวณเชิงเขา  

และลาวสูงหมายถึงคนลาวที่อาศัยอยู่บนภูเขา  

         การจำแนกดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ (creative) ระดับชาติ   เนื่องจากรัฐสามารถจัดทุกคนเข้าไปอยู่ในกลุ่มใด   กลุ่มหนึ่งในสามกลุ่มดังกล่าวนี้ได้โดยง่าย 

         จะเห็นได้ว่า การใช้คำว่า “ลาว” นำหน้าชื่อเรียกนั้น เป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่ต้องการเชื่อมโยงชนเผ่าที่หลากหลายเข้าสู่ความหนึ่งเดียวของชาติลาว ทั้งๆ ที่ชนเผ่าเหล่านี้ไม่ได้มีภาษา ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีอย่างคนลาว (Schliesinger, 2003)   และการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ออกเป็น 3 กลุ่มตามพื้นที่อยู่อาศัยทางภูมิศาสตร์นั้น ไม่ตรงกับความเป็นจริงทางสังคม   เพราะบางชนเผ่าก็ย้ายจากภูเขาลงมาอาศัยอยู่ที่ราบนานแล้ว ในทางกลับกันก็มีคนลาวลุ่มอพยพขึ้นไปอาศัยอยู่ในพื้นที่เขตภูเขาด้วยเช่นกัน

           ในระดับนโยบายของรัฐต่อกลุ่มชาติพันธุ์  รัฐมักจะประกาศอย่างโจ่งแจ้งถึงหลักการ “เสมอภาคบันดาเผ่า”  แต่ก็ดูเหมือนว่าจะขัดกับหลักแนวคิดความเป็นชาติลาวบนพื้นฐานที่ว่า “หลากหลายแต่เป็นหนึ่งเดียว”   ดังคำพูดของไกสอน พมวิหาน อดีตประธานประเทศที่ว่า “ชนเผ่าแต่ละเผ่ามีวัฒนธรรมที่ดีและสวยงาม และเป็นวงศาคณาญาติแห่งชาติลาว เหมือนกับดอกไม้นานาชนิดที่เติบโตในสวนที่หลากสีสันและให้กลิ่นหอมที่แตกต่างกัน” (Banomyong, 2006)

           Laohoua Cheutching นักวิชาการลาวเชื้อสายม้ง ได้วิพากษ์นโยบายของรัฐบาลต่อกลุ่มชาติพันธุ์ในลาวว่า หลักการเสมอภาคบรรดาเผ่า ดูจะเป็นผลดีต่อกลุ่มชาติพันธุ์ในช่วงที่ทำสงครามกับรัฐบาลลาวราชอาณาจักร  และหลังจากปี ค.ศ. 1975 นโยบายการเสมอภาคบรรดาเผ่าก็ยังคงเป็นอาวุธทางอุดมคติที่ผู้นำของพรรคนำมาใช้เพื่อกุมอำนาจทางการเมือง  แต่ในความเป็นจริงช่วงสิบปีแรกกลับมีความพยายามใช้นโยบายการผสมกลมกลืนชนเผ่า  เช่น การสร้างแนวทางสังคมแบบใหม่สำหรับเพิ่มผลผลิต  การสร้างวัฒนธรรมสังคมนิยมให้เป็นคนลาวแบบใหม่  และในขณะเดียวกัน การทำงานร่วมกันระหว่างผู้นำชนเผ่าที่เคยมีขึ้นในช่วงสงคราม ก็ไม่ได้มีการสานต่อหลังปี 1975

          หลังจากนโยบายการผสมกลมกลืนชนกลุ่มน้อยล้มเหลว ในปี ค.ศ. 1986  ผู้นำได้เปลี่ยนนโยบายต่อชนเผ่า โดยนำไปผูกติดกับเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ต่อมาพรรคและรัฐบาลใช้วิถีการเมืองและเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดปัญหา  ชนเผ่าส่วนใหญ่  ซึ่งในช่วงแรกได้รับการต่อต้านจากชนกลุ่มน้อยโดยเฉพาะคนม้ง ซึ่งรัฐมักใช้กำลังทางทหารเข้าปราบปราม  ปัจจุบันเป้าหมายพื้นฐานของนโยบายรัฐบาลคือ การบูรณาการชนเผ่าเข้าสู่สังคม  การปกป้องวัฒนธรรม ประเพณีดั้งเดิม และการปรับปรุงคุณภาพชีวิตทั้งทางวัตถุและจิตวิญญาณของชนกลุ่มน้อย ได้รับการชูประเด็นให้โดดเด่นและเน้นขึ้นมาอีกครั้ง (Cheutching, 2000)

          อย่างไรก็ดี ปัญหาสำคัญระหว่างรัฐและกลุ่มชาติพันธุ์ในลาวตอนนี้ก็คือ การแผ้วถางและบุกรุกป่าเพื่อทำการเกษตร  รัฐเห็นว่าวิธีการถางและเผา (slash and burn) ของชนเผ่าในเขตภูเขา เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมและป่า ทำให้รัฐพยายามแก้ปัญหาด้วยการใช้นโยบายเคลื่อนย้ายหมู่บ้านจากที่สูงมาสู่ที่ราบลุ่ม เพื่อลดการบุกรุกป่า แต่กลุ่มคนอพยพหน้าใหม่ก็เผชิญปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกิน และการแย่งที่ทำกินกับกลุ่มชนเผ่าอื่นที่อยู่ในพื้นที่มาแต่เดิม เนื่องจากรัฐขาดการเตรียมการที่ดีในการโยกย้ายกลุ่มชาติพันธุ์และการตั้งหมู่บ้านใหม่  รวมทั้งการเตรียมจัดสรรทรัพยากรอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต   ทำให้นโยบายการโยกย้ายหมู่บ้านชนเผ่าประสบความล้มเหลว  มีบางกรณีที่ชนเผ่าย้ายกลับไปอยู่ที่เดิมในเวลาต่อมา (The government of Lao PDR, August 2006)

          Grant Evans  ตั้งข้อสังเกตว่า อันที่จริงนโยบายเกี่ยวกับชนกลุ่มน้อยของรัฐบาลลาวราชอาณาจักรกับรัฐบาล สปป.ลาวนั้นไม่ได้ต่างกัน  แต่การโฆษณาชวนเชื่อของ สปป.ลาว ว่าเป็นรัฐบาลที่เป็นตัวแทนชนกลุ่มน้อยนั้น กลับสร้างปัญหาให้รัฐเอง  เพราะนโยบายดังกล่าวทำให้ชนกลุ่มน้อยยิ่งตระหนักในความแตกต่างทางเชื้อชาติของตนมากยิ่งขึ้น และขณะเดียวกันก็สร้างความหวังว่ารัฐจะยกฐานะทางสังคมของตนได้อย่างรวดเร็ว   แม้รัฐจะประกาศว่าชนทุกกลุ่มมีความเสมอภาคกัน แต่ความจริงชนกลุ่มน้อยก็รู้ดีว่าพวกเขามิได้มีสิทธิพลเมืองที่เสมอภาคแต่อย่างใด  Evans ได้ยกตัวอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับชาวขมุ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่สำคัญกลุ่มหนึ่งของกองทัพพรรคคอมมิวนิสต์ลาวขมุคนหนึ่งเล่าว่า   “ระหว่างการปฏิวัติ อะไรๆ ก็พรรคให้ประชาชน  แต่ปัจจุบันอะไรๆ เป็นประชาชนที่ต้องให้พรรค... คนลาวพากันร่ำรวย แต่คนชนบทคนขมุที่นั่นล้วนยากจน” (Evans, 2003)

บรรณานุกรม

    Population Census 2005. (2011). เรียกใช้เมื่อ 19 May 2012 จาก Lao Statistics Bureau: http://www.nsc.gov.la/

    Grant Evans. (2003). Urban Minorities. ใน Grant Evans, Laos and Ethnic Minority Cultures: Promoting Heritage (หน้า 241). Paris: UNESCO.

    Joachim Schliesinger. (2003). Ethnic Groups of Laos Volume 1. Introduction and Overview. Bangkok: White Lotus.

    Laohoua Cheutching. (2000). The Situation of the Hmong and Minority Polities in Laos. ใน Laohoua Cheutching, Ethnic Monoroties and Nationalism in Southeast Asia (หน้า 148-150). Frankfurt am Main: Peter Lang.

    The government of Lao PDR. (August 2006). Lao People's Democratic Republic: Northern Region Sustainable Livelihoods Development Project. Vientiane: the government of Lao PDR for the Asian Development Bank.

    Vattana Pholsena. (2006). Post-War Laos: the Politics of Culture, History and Identity. Singapore: Institute of Southeast Asian Studies.

    Vattana Pholsena and Ruth Banomyong. (2006). Laos from Buffer State to Crossroads. Chiang Mai: MekongPress.